
วันนี้คิดว่าจะเฉาะรัฐธรรมนูญที่กำลังจะนำไปทำประชามติในเร็วๆ นี้ ว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นกฎเป็นกติกาอันจะนำพาประเทศชาติบ้านเมืองไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้มากน้อยแค่ไหน แต่เมื่อเหลือบดูปฏิทินแล้วพบว่าวันสงกรานต์และวันขึ้นปีใหม่ไทยกำลังยืนรออยู่หน้าประตูบ้านในขณะนี้แล้วจึงเปลี่ยนใจไม่เฉาะรัฐธรรมนูญในวันดังกล่าว รอให้ผู้คนทั้งหลายได้ไปทำบุญทำทานและเที่ยวเตร่กันให้สบายใจก่อนดีกว่า เมื่อผ่านพ้นวันสงกรานต์และวันขึ้นปีใหม่ไทยไปแล้ว ค่อยมาเฉาะให้ฟัง
ขอให้ไปทำบุญทำทานเข้าวัดสวดมนต์ตามประเพณีด้วยจิตใจที่ปลอดโปร่ง ไม่มีเรื่องอะไรรกรุงรังอยู่ในหัวใจ ทำจิตใจให้สงบ เพื่อนำชีวิตดำเนินไปสู่ความดียิ่งๆ ขึ้น เพราะการสั่งสมความดีนั้น ยิ่งสั่งสมมากยิ่งเกิดคุณค่ามาก
ความดีเป็นอำนาจที่เป็นเกราะคุ้มกันป้องกันตัว ทั้งในภพนี้และภพหน้า แม้จะเป็น “คนที่มืดมา” คือคนที่ไม่รู้สึกตัว ไม่เชื่อเรื่องบุญเรื่องบาป ไม่เชื่อเรื่องนรกและสวรรค์ ตายแล้วสูญ เป็นต้น ใช้ชีวิตอย่างตามใจชอบ ใช้อำนาจที่ตนมีแย่งชิงจากคนอื่นอยู่ตลอดเวลาก็ตาม ถ้าเป็นคนรู้จักสั่งสมความดีและทำความดีอยู่ตลอดเวลา คนอย่างนี้จะ “ไปสว่าง” คือไปอย่างมีความสุข แม้ชีวิตที่เริ่มต้นจะต่ำต้อยแสนยากเข็ญเพียงไรก็ตาม จะถูกลบทิ้งด้วยความดีที่ทำตอนหลังเสมอ ขอเพียงให้รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาในการใช้ชีวิต หรือการทำงานต่างๆ ที่ไม่ยอมทำความชั่วความไม่ดี
ยิ่งมีอำนาจในมือมากเท่าไรยิ่งต้องรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาในการใช้อำนาจนั้น ว่าใช้ไปในทางรับใช้สังคมและประเทศชาติบ้านเมืองด้วยความซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ หรือใช้ไปเพื่อประโยชน์ตนและพรรคพวก เพราะถ้าเป็นคนรู้สึกตัวในเรื่องอย่างนี้เวลาไปจะ “ไปสว่าง” แน่นอน ไม่ไปอย่าง “ไปมืด” คือจบลงอย่างไม่สวย ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมาเยอะต่อเยอะ
ยิ่งได้อำนาจมาใช้ปกครองบ้านเมืองอย่างไม่ถูกต้องตามกระบวนการปกครองในระบอบประชาธิปไตยด้วยแล้ว ยิ่งต้องระมัดระวังและใส่ใจในเรื่องอย่างนี้ให้มากเป็นพิเศษ จะบริหารปกครองบ้านเมืองตามกระบวนท่าที่ตนต้องการอย่างเดียวโดยไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นนั้น “ไปมืด” ทุกราย
ใครเป็นคนไม่รู้สึกตัวในการใช้อำนาจอยากให้ฟังเรื่องที่จะนำมาเล่าให้ฟัง 2 เรื่องดังต่อไปนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่มาจากปรัชญาคำสอนของจีนแต่โบร่ำโบราณ
เรื่องแรกมีชื่อเรื่องว่า “ร้ายกว่าเสือ”
เล่าไว้ว่า สมัยหนึ่งขงจื้อพาลูกศิษย์เดินทางไปยังเมืองหนึ่ง เส้นทางที่ไปผ่านป่าใหญ่มีภูเขาสูง ได้ยินเสียงร่ำไห้ของผู้หญิงคนหนึ่งแว่วมาแต่ไกล ขงจื้อจึงหยุดรถม้า นิ่งฟังอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “เสียงร้องไห้ฟังแล้วน่าเวทนานัก ผู้หญิงนั้นคงได้รับทุกข์แสนสาหัสเป็นแน่”
ลูกศิษย์ใกล้ชิดรับอาสาไปถามสาเหตุ
ผู้หญิงคนร้องไห้นั้นกล่าวแก่ลูกศิษย์ขงจื้อว่า “น้าชายของฉันถูกเสือขบตายไม่นานมานี้ ต่อมาสามีของฉันก็ถูกเสือกินอีก ขณะนี้เจ้าวายร้ายตัวนั้นมาคาบเอาลูกชายตัวเล็กๆของฉันไปอีก”
ลูกศิษย์ขงจื้อถามว่า “ทำไมไม่ย้ายไปอยู่ที่อื่น”
เธอตอบพลางสะอื้นว่า “ฉันย้ายไปไม่ได้หรอก”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ที่นี่ไม่มีรัฐบาลที่ใช้อำนาจตามชอบใจนะซิ”
เมื่อลูกศิษย์นำความมาเล่าให้ขงจื้อฟัง ขงจื้อก็กล่าวกับคณะลูกศิษย์ที่เดินทางติดตามมาด้วยว่า “พวกเธอจงจำไว้เถิด รัฐบาลที่ใช้อำนาจตามชอบใจนั้นร้ายกว่าเสือเสียอีก”
เรื่องที่ 2 ชื่อเรื่องว่า “คุณธรรมสำคัญกว่า”
เล่าไว้ว่า คราวหนึ่งลูกศิษย์ถามขงจื้อว่า“จะปกครองรัฐอย่างไร จึงจะดี” ขงจื้อตอบให้ลูกศิษย์ฟังว่า “จงปกครองให้ประชาชนมีอาหารบริโภคอุดมสมบูรณ์ ให้ประเทศชาติมีกองทัพที่เข้มแข็ง และให้ประชาชนมีความเชื่อถือในรัฐบาล”
ลูกศิษย์ถามว่า “หากจำเป็นจะตัดออกสักข้อหนึ่ง ควรตัดข้อใดออก” ขงจื้อตอบว่า“ตัดกองทัพออก”
ลูกศิษย์ถามอีกว่า “ถ้าจำเป็นต้องตัดอีกข้อล่ะจะตัดข้อไหน” ขงจื้อก็ตอบว่า “ควรตัดอาหารออก เพราะนับแต่โบราณกาลมาแล้ว มนุษย์เรามีความตายเป็นธรรมดาทุกคน แม้ประชาชนจะต้องอดอยากบ้าง แต่ก็ยังดีกว่ามีรัฐบาลที่ประชาชนเขาไม่ชอบและไม่นับถือ ประเทศที่มีรัฐบาลอย่างนี้จะตั้งมั่นอยู่ได้อย่างไร ”
ลูกศิษย์ถามต่อไปอีกว่า “หมายความว่า รัฐบาลไม่มีธรรม ประชาชนเขาหมดศรัทธาร้ายแรงยิ่งกว่าเรื่องปากท้องหรือ”
ขงจื้อตอบว่า “ถูกต้อง บัณฑิตย่อมเห็นแก่คุณธรรมยิ่งกว่าจะเห็นแก่ปากท้อง”
ทั้ง 2 เรื่องเป็นของฝากถึงผู้มีอำนาจปกครอง
ไม่ต้องอธิบายความอะไรกันอีกเกี่ยวกับความหมายของเรื่อง 2 เรื่องที่นำมาฝากกันในวันเริ่มสงกรานต์ที่กำลังจะเริ่มต้น เพราะเป็นเรื่องของความดีความมีคุณธรรมที่ต้องสั่งสมให้มีและให้เกิดขึ้นอยู่เสมอ ยิ่งใครมีอำนาจยิ่งต้องรู้จักและใช้อำนาจให้เป็น
วันสงกรานต์ที่กำลังมาถึงนี้รู้จักเข้าวัดทำบุญกันบ้าง เพราะการทำบุญเป็นกรรมดีอย่างหนึ่งที่ควรกระทำ มิเฉพาะในวังสงกรานต์เท่านั้น เพราะกระทำได้ทุกเมื่อ แต่จะทำบุญอย่างไรจึงจะถูกต้องและได้ผลมาก ขอยกไปพูดให้ฟังในตอนหน้าก็แล้วกันเพราะเนื้อที่หมดพอดี
(อ่านต่อวันอังคาร)
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
June 26, 2020 at 02:00AM
https://ift.tt/3hWAU2a
คอลัมน์การเมือง - ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง (1) - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://ift.tt/3dDNfpA
Bagikan Berita Ini
0 Response to "คอลัมน์การเมือง - ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง (1) - หนังสือพิมพ์แนวหน้า"
Post a Comment