- จอยซ์ อีตูตู
- บีบีซี นิวส์
เจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ และเมแกน ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ พระชายาประทานสัมภาษณ์พิเศษในรายการโทรทัศน์ของพิธีกรชื่อดัง โอปราห์ วินฟรีย์ ถึงสาเหตุการยุติบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูงของราชวงศ์วินด์เซอร์แห่งอังกฤษ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ยุคใหม่
เชื่อกันว่าการตัดสินพระทัยของคู่ขวัญแห่งราชวงศ์อังกฤษในการย้ายไปปักหลักอยู่ในสหรัฐฯ นั้น ได้สร้างความตกตะลึงให้แก่สมาชิกของราชวงศ์ อีกทั้งยังนำไปสู่ความสัมพันธ์อันร้าวฉานระหว่างสองฝ่าย แต่ความบาดหมางที่เกิดขึ้นได้ทวีความรุนแรงและดำเนินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
ความรักดั่ง "เทพนิยาย"
ช่วงปลายปี 2016 มีกระแสข่าวว่าเจ้าชายแฮร์รีกำลังคบหาอยู่กับ น.ส.เมแกน มาร์เคิล นักแสดงหญิงผู้มีชื่อเสียงจากซีรีส์เรื่อง Suits
ทั้งคู่ได้รู้จักกันผ่านการแนะนำของพระสหาย และ 18 เดือนต่อมา เจ้าชายแฮร์รีทรงประกาศว่าได้หมั้นหมายและเตรียมจะเสกสมรสกับดาราสาวชาวอเมริกัน ทรงเผยว่าการได้พบและตกหลุมรัก น.ส.มาร์เคิล อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อนั้น เป็นเหมือนโชคชะตาที่ "ดวงดาวช่างเป็นใจ" ให้ได้มาเป็นคู่ครองกัน
กระแสความสนใจจากสื่อมวลชนได้เริ่มขึ้นในทันที โดยที่ทั้งสองพระองค์ถูกจับตามองในฐานะผู้ที่จะสร้างความเป็นแปลงครั้งใหญ่ให้แก่ราชวงศ์อังกฤษ เพราะเธอคือดาราสาวผู้เปี่ยมเสน่ห์ และการที่ทั้งสองเป็นคู่รักต่างเชื้อชาติก็ยังดึงดูดความสนใจจากบรรดาคนหนุ่มสาว
ในพิธีเสกสมรสของทั้งคู่เมื่อเดือน พ.ค.ปี 2018 มีประชาชนหลายพันคนไปเฝ้าดูตามท้องถนนของเมืองวินด์เซอร์ ขณะที่ประชาชนในสหราชอาณาจักรอีก 13 ล้านคนเฝ้าชมพิธีผ่านทางโทรทัศน์
ทว่าดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ทรงเป็นที่รักของสื่อมวลชนและผู้คนในอังกฤษอยู่เพียงระยะหนึ่ง
สถานการณ์เปลี่ยนไปได้อย่างไร
ในช่วงแรก เมแกนมีภาพลักษณ์เป็น "ขวัญใจ" คนใหม่ของราชวงศ์ และบรรดาหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ต่างตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับเคล็ดลับการแต่งกายให้ "เรียบหรู" แบบพระองค์
วิคตอเรีย ฮาเวิร์ด นักประชาสัมพันธ์และบรรณาธิการ The Crown Chronicles เว็บไซต์ข่าวสารเกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษ ระบุว่า "หลายคนมองว่านี่ (การเข้ามาของเมแกน) คือรุ่งอรุณใหม่ ที่จะแสดงให้เห็นว่าราชวงศ์อังกฤษมีความเปิดกว้าง และเป็นตัวแทน (ของสังคม) เพราะเธอไม่ได้เป็นแค่ลูกครึ่ง แต่ยังเป็นชาวอเมริกัน อีกทั้งเคยผ่านการสมรสและหย่าร้างมาแล้ว"
"ทุกคนคิดว่า มันเยี่ยมมาก เธอเป็นคนพูดตรงไปตรงมา และเป็นนักสตรีนิยม ซึ่งในฐานะคู่รัก ทั้งสองพระองค์ทรงได้รับความนิยมอย่างมาก..."
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณว่าเมแกนจะกลายเป็นเหยื่อการนำเสนอข่าวของบรรดาสื่อแท็บลอยด์มาตั้งแต่ต้น โดยช่วงปลายปี 2016 ซึ่งเจ้าชายแฮร์รีทรงยืนยันว่ากำลังคบหาอยู่กับเมแกนนั้น ได้ทรงออกแถลงการณ์ตำหนิสื่อมวลชนที่ "ข่มเหงรังแกและคุกคาม" แฟนสาวของพระองค์ ทั้งยังแสดงความคิดเห็นเชิงเหยียดสีผิวในบทความต่าง ๆ และพยายามบุกรุกบ้านพักของเธอ
ฮาเวิร์ด บอกว่าพฤติกรรมเช่นนี้ของสื่อแท็บลอยด์ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับสตรีที่กำลังจะเข้ามาเป็นสมาชิกของราชวงศ์อังกฤษ อันที่จริงตอนที่ เคต มิดเดิลตัน (ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์) ประกาศเลิกรากับเจ้าชายวิลเลียม ในปี 2007 ก็มีข่าวว่าการถูกสื่อคุกคามคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ทั้งคู่ตัดสินใจแยกทางกัน
"ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อแท็บลอยด์กับผู้หญิงในราชวงศ์มักเป็นแบบเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ตอนที่พวกเธอเข้ามาเป็นสมาชิกราชวงศ์ในช่วงแรก สื่อมักเสนอข่าวในแง่บวกที่ไม่มีพิษภัยใด ๆ เช่น พวกเธอใช้ครีมอะไรบ้าง" ฮาเวิร์ด กล่าว
"ปีต่อมา หนังสือพิมพ์เหล่านี้เริ่มตระหนักว่าบทความดี ๆ เหล่านี้เริ่มน่าเบื่อ จึงเริ่มไปสัมภาษณ์เพื่อนฝูงและอดีตเพื่อนร่วมงานเพื่อขุดคุ้ยหาเรื่องราวอื้อฉาว ซึ่งนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการมุ่งนำเสนอเรื่องราวในเชิงลบ"
เจ้าชายแฮร์รีทรงแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะไม่นิ่งเฉยต่อการที่สื่อมุ่งโจมตีพระชายา โดยตอนที่ทั้งคู่ประกาศลดบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูงนั้น พระองค์ตรัสว่า ทำไปเพื่อปกป้องทั้งคู่จากสิ่งแวดล้อม "เป็นพิษ" ที่สื่อมวลชนอังกฤษสร้างขึ้น
เจสซิกา มอร์แกน ผู้สื่อข่าวสายราชสำนักของเว็บไซต์ยาฮู บอกว่า "เจ้าชายแฮร์รีได้เห็นถึงสิ่งที่สื่อปฏิบัติต่อพระมารดา และไม่ต้องการให้เรื่องแบบเดียวกันเกิดขึ้นกับพระชายา"
"ไดอานาเป็นคนตรงไปตรงมา และกล้าพูดเพื่อตนเอง โดยไม่ยอมนิ่งเงียบ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับเมแกนที่เป็นคนแบบเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นลูกครึ่งผิวดำ"
ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย?
ตอนที่ เลดี้ ไดอานา สเปนเซอร์ เริ่มก้าวเข้าเป็นสมาชิกของราชวงศ์สื่อมวลชนต่างมีปฏิกิริยาเชิงบวก แบบเดียวกับที่เกิดกับเมแกน
ฮาเวิร์ด เล่าว่า "ไดอานาเป็นที่รักของสื่อตั้งแต่แรก...เธอเป็นหญิงสาวอายุน้อย เป็นขุนน้ำขุนนาง และหน้าตาสะสวย เธอเป็นขวัญใจผู้คนและทำอะไรถูกไปหมดเสียทุกอย่าง"
แต่หลังจากการหย่าร้างจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ไดอานาก็ตกเป็นเป้าการไล่ล่าจากบรรดาช่างภาพปาปารัสซี โดยในปี 1993 พระองค์ตะโกนใส่ช่างภาพคนหนึ่งที่ตามถ่ายภาพว่า "คุณทำให้ชีวิตฉันเหมือนตกอยู่ในนรก" นอกจากนี้ยังมีการแอบถ่ายภาพพระองค์ตามสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงยิม และมีข่าวว่าภาพของพระองค์กับนายโดดี ฟาเยด คู่รักคนใหม่ มีราคาสูงกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 30 ล้านบาท)
การตามไล่ล่าอย่างไม่ลดละของปาปารัสซี นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ทำให้ไดอานาสิ้นพระชนม์ในอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะที่ถูกเหล่าปาปารัสซีไล่ตามในอุโมงค์แห่งหนึ่งในกรุงปารีส
อุบัติเหตุครั้งนั้นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทั้งรักและเกลียดระหว่างสื่อมวลชนกับพระโอรสทั้งสองของพระองค์ ที่ทรงได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่สื่อตามรังควานพระมารดา
การเล่นข่าวอย่างไร้ความปรานี
ในฐานะรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อังกฤษ สื่อจึงให้ความสนใจในชีวิตของเจ้าชายแฮร์รีเสมอมา และไม่มีข้อยกเว้นสำหรับพระชายาของพระองค์
แต่ความสนใจของสื่อแท็บลอยด์ที่มีต่อเมแกน ซึ่งมักนิยามตนเองว่าเป็น "ผู้หญิงเลือดผสมที่ภาคภูมิใจ" กลับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วไปเป็นการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการหย่าร้างกับสามีคนแรก ชีวิตครอบครัว อาชีพเดิม และเรื่องเชื้อชาติของพระองค์
ในช่วงแรก เมลออนไลน์ (Mail Online) นำเสนอข่าวอย่างคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับเมแกนว่าเติบโตมาในย่านที่เต็มไปด้วยแก๊งอาชญากรรมในนครลอสแอนเจลิส ทั้งที่ความจริงเธอใช้ชีวิตวัยเด็กในฮอลลีวูดและเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชน นอกจากนี้ยังบรรยายถึงมารดาของเธอว่าเป็น "หญิงอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่ไว้ผมทรงเดดร็อก ผู้มาจากครอบครัวยากจนที่อาศัยอยู่ในแอลเอ"
มอร์แกน ระบุว่า การรายงานดังกล่าวของแท็บลอยด์อังกฤษทำให้ "รู้สึกเหมือนว่ากลุ่มคนผิวดำกำลังถูกโจมตี มันรู้สึกเหมือนคนกำลังโจมตีฉัน บุคคลที่ฉันรัก และคนที่เป็นแบบฉัน ในฐานะของผู้หญิงผิวดำที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร เรารู้ว่าการเหยียดเชื้อชาติเป็นอย่างไร..."
ขณะเดียวกัน หัวข่าวเกี่ยวกับดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ก็มักเรียกพระองค์ว่า เป็นคน "เรื่องเยอะ" "ชอบวางอำนาจ" และ "ชอบข่มเหงรังแก" โดยมีรายงานว่าพระองค์ทรงขับไล่ผู้ช่วยส่วนพระองค์ 2 คนออกจากพระราชวังเคนซิงตัน ซึ่งสำนักพระราชวังบักกิงแฮมระบุว่ากำลังสอบสวนเรื่องนี้ ในขณะที่เมแกนเองได้ปฏิเสธข่าวนี้ พร้อมระบุว่านี่คือการ "การโจมตีชื่อเสียง" ครั้งล่าสุดของพระองค์
ส่วนผู้คนในโลกออนไลน์ต่างแสดงความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย และเปรียบเทียบถึงความแตกต่างเมื่อสื่อแท็บลอยด์รายงานข่าวเกี่ยวกับแคทเธอรีน ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ พระชายาในเจ้าชายวิลเลียม ดยุคแห่งเคมบริดจ์
ยกตัวอย่างเช่น ในบทความของเดลีเอ็กซ์เพรส (Daily Express) เมื่อเดือน ม.ค.ปี 2019 ที่เชื่อมโยงความชื่นชอบอะโวคาโดของเมแกนกับปัญหาความแห้งแล้งและการฆาตกรรม ในขณะที่บทความของสื่อรายเดียวกันที่ตีพิมพ์ 15 เดือนก่อนหน้านั้น เกี่ยวกับการเสวยอะโวคาโดของ ดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ กลับเขียนถึงเรื่องคุณประโยชน์ของอาหารชนิดนี้ว่าช่วยพระองค์จากอาการแพ้ท้องในตอนเช้า
มอร์แกน ชี้ว่า "การเป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงหมายความว่าคุณจะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด และหากคุณเป็นผู้หญิงและผิวดำด้วย การเฝ้าจับตามองนั้นจะมีมากขึ้นไปอีก เพราะผู้คนตั้งมาตรฐานสำหรับผู้หญิงผิวดำไว้สูงกว่า ผู้หญิงผิวดำจะต้องดีเป็นพิเศษ"
มอร์แกน ยกตัวอย่างว่า "เมื่อเคตทำผิดข้อปฏิบัติของราชสำนัก พวกเขาพูดว่าเธอกำลังเรียนรู้ แต่เมื่อเมแกนปิดประตูรถเองกลับเป็นเรื่องใหญ่โต มันเป็นปัญหาที่ฝังลึกอยู่ในระบบและในสถาบัน"
กรณีที่เกิดขึ้นทำให้ในเดือน ต.ค.ปี 2019 เจ้าชายแฮร์รี ทรงออกแถลงการณ์ตำหนิสื่อมวลชน โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ว่าออกข่าวเชิงลบโจมตีพระชายาอย่างไร้ความปรานี และเป็น "การประโคมข่าวอย่างไม่หยุดหย่อน" ส่งผลให้ในเดือน เม.ย. ปี 2020 ทั้งคู่ประกาศเลิกให้ข่าวแก่หนังสือพิมพ์แทบลอยด์อย่าง เดลีมิร์เรอร์ (Daily Mirror) เดอะซัน (the Sun) เดลีเมล (Daily Mail) และเดลีเอ็กซ์เพรส
ฮาเวิร์ด บอกว่า "สิ่งที่สื่อไม่ชอบใจคือการที่แฮร์รีและเมแกนเริ่มโต้กลับอย่างรวดเร็ว"
โดยดัชเชสแห่งซัสเซกซ์เพิ่งจะชนะคดีฟ้องร้องเมลออนซันเดย์ (Mail on Sunday) และเมลออนไลน์ ที่นำจดหมายที่พระองค์สื่อสารกับบิดาออกเผยแพร่ ซึ่งศาลสูงของอังกฤษตัดสินให้สื่อทั้งสองต้องตีพิมพ์แถลงการณ์ในหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์เพื่อประกาศให้ทราบถึงชัยชนะของดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ ซึ่งสื่อทั้งสองมีแผนจะยื่นเรื่องอุทธรณ์คำตัดสินดังกล่าว
บีบีซีได้ติดต่อขอความคิดเห็นจากสื่อทั้งสองรายซึ่งมีเจ้าของเดียวกันแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ
บทสัมภาษณ์กับโอปราห์จะบอกอะไรเราบ้าง
ในขณะที่ความบาดหมางกับสื่ออังกฤษเริ่มเด่นชัดขึ้น ก็เริ่มมีกระแสข่าวเรื่องความไม่ลงรอยกันของดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์กับราชสำนักเกิดขึ้น
ตอนที่ทั้งคู่ประกาศลดบทบาทในฐานะพระราชวงศ์ชั้นสูงในเดือน ม.ค. ปี 2020 นั้น ดูเหมือนจะเป็นการตัดสินใจโดยที่ไม่มีการปรึกษาหารือกับคนในราชวงศ์เสียก่อน ซึ่งเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังระบุว่าพระราชวงศ์ต่าง "ผิดหวัง" ที่ได้ทราบข่าวนี้
จากนั้น เจ้าชายแฮร์รีและพระชายา พร้อมด้วย อาร์ชี พระโอรสได้ย้ายไปพำนักในรัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อนที่ในเดือน ก.พ.ปี 2021 สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สองจะทรงยืนยันว่าทั้งคู่จะไม่กลับไปทรงงานในฐานะสมาชิกราชวงศ์อังกฤษอีกต่อไป
คาดว่า บทสัมภาษณ์ที่ดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ประทานแก่โอปราห์ วินฟรีย์ จะเจาะลึกว่าทั้งคู่ทรงรู้สึกอย่างไรต่อการถูกปฏิบัติจากสื่อมวลชนและราชสำนักอังกฤษ
โดยในคลิปตอนหนึ่งที่ถูกตัดออกมาประชาสัมพันธ์บทสัมภาษณ์นี้ ดัชเชสแห่งซัสเซกซ์ตรัสเป็นนัยว่าราชวงศ์และข้าราชสำนักได้ "กล่าวความเท็จ" เกี่ยวกับทั้งสองพระองค์เสมอมา
ขณะที่เจ้าชายแฮร์รีทรงชี้ให้เห็นถึงความคล้ายคลึงกันของสิ่งที่ ไดอานา พระมารดา และพระชายาถูกปฏิบัติ โดยเผยว่า พระองค์ทรงกลัวว่าประวัติศาสตร์ "จะซ้ำรอย"
"ข้าพเจ้าไม่อาจจะจินตนาการได้ว่ามันเป็นอย่างไรสำหรับ (ไดอานา) ที่ต้องเผชิญกับเรื่องนี้ด้วยพระองค์เองตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพราะมันเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสอย่างเหลือเชื่อสำหรับเราสองคน แต่อย่างน้อยเราก็มีกันและกัน"
ฮาเวิร์ดเชื่อว่า บทสัมภาษณ์ครั้งนี้ที่มีกำหนดออกอากาศในสหรัฐฯ คืนวันอาทิตย์ที่ 7 มี.ค. หรือตรงกับวันจันทร์ที่ 8 มี.ค.ตามเวลาในสหราชอาณาจักร จะถูกบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์
"นี่จะเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์สำหรับราชวงศ์อังกฤษ และมันไม่น่าจะออกมาสวยงามเหมือนดอกกุหลาบเป็นแน่"
https://ift.tt/3kUL3ON
บันเทิง
Bagikan Berita Ini
0 Response to "ความบาดหมางระหว่างดยุคและดัชเชสแห่งซัสเซกซ์กับราชสำนักและสื่ออังกฤษมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร - บีบีซีไทย"
Post a Comment